La Cabra จิบวัฒนธรรมกาแฟ one roast จากเดนมาร์กในกรุงเทพฯ
One roast fits all - ที่นี่เขาใช้เมล็ดกาแฟเดียวกันทั้ง filter และ espresso เลย!
One roast fits all - ที่นี่เขาใช้เมล็ดกาแฟเดียวกันทั้ง filter และ espresso เลย!
15 วัน 15 ร้าน กับทาโก้พิเศษ ในราคา 3 ชิ้น 200++ บาท
ถ้าเพื่อนมีบ้านเก๋ ๆ แบบ Marco ก็จะขอไปเที่ยวบ้านบ่อย ๆ เลย! - ร้านใหม่ล่าสุดของทีม Rabbit Hole (ทีมเดียวกับ Liberation, Crimson Room, Draft Land และ Canvas) ฉีกแนวจากร้านอื่นในเครือ ออกมาเป็นบาร์สไตล์สบาย ๆ บรรยากาศชิล ๆ แต่ยังไม่ทิ้งลายเรื่องดีไซน์ ที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ที่ร้านแนะนำว่า Bar Marco คือบ้านของ Marco เดินเข้ามาในบ้าน เราก็สะดุดตากับเคาน์เตอร์บาร์เล็ก ๆ ที่มีพรอปอย่างตู้เย็น Smeg สีแดงวางอยู่ชิดผนังใกล้ ๆ ให้อารมณ์มุมครัวบ้านเพื่อนแบบที่ไม่ต้องใช้อย่างอื่นมาประกอบให้เยอะแยะ ใช่ เราว่านาย Marco เจ้าของบ้าน นี่มีรสนิยมใช้ได้เลยแหละ ตัวร้านเน้นไม้แบบฟีลอุ่น ๆ กับชุดโต๊ะเก้าอี้ที่ไม่เหมือนกัน ทั้งโซฟาตัวยาว เก้าอี้บุนวม เก้าอี้ไม้ขอบมน รวม
งานเทศกาลอาหารที่รวมเชฟระดับท็อปของเมืองไทยไว้มากที่สุดแล้วล่ะ หนึ่งในโซนที่เราชอบที่สุดเวลาไปงาน Wonderfruit คือโซน Wonderfeast ที่ไม่ได้เน้นดนตรีหรือศิลปะเหมือนโซนอื่น แต่เป็นการนำอาหารขึ้นมาเป็นตัวชูโรงเพื่อให้เข้าใจวัฒนธรรมอาหาร และความยั่งยืนผ่านวงจรใกล้ตัวเราอย่างอาหารการกินผ่านการปรุงของเหล่าเชฟแถวหน้าของไทย โดยหลังจากที่จัดดินเนอร์แบบ virtual ไปเมื่อต้นปีกับธีม Lockdown ในช่วงที่ทุกคนต้องกักตัวอยู่บ้าน Fruitfull เทศกาลอาหารโดยทีมงาน Wonderfruit ก็ได้ฤกษ์กลับมาจัดงานแบบเดิมอย่างที่ตั้งใจไว้คือเทศกาลอาหารที่ทุกคนมาเข้าร่วมได้โดยไม่จำเป็นต้องรอไปงาน Wonderfruit ดีตรงนี้! นอกจากไลน์อัพของเหล่าเชฟ (ที่อ่านชื่อแล้วก็เอาเงินเราไปเถอะ!) ความน่าตื่นเต้นของงานที่จะจัดขึ้นในวันที่ 6-8 พ.ย. อีกอย่างคือสถานที่จัดงาน เพราะ Fruitfull เลือกสถานที่จัดงานที่ทั้งขลังทั้งครึ้มและอยู่ใจกลางเมืองอย่าง พิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สัน ที่ภายในเต็มไปด้วยบ้านไม้ทรงไทยอายุนับร้อยปี และสวนที่เราชอบมาก เพราะทั้งร่มรื่นเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้น้อยใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ แล้วภายในงานมีอะไรที่ทำให้เราไปบ้าง? งานทั้ง 3 วันแบ่งออกเป็นงานตลาดออร์แกนิก งานป็อปอัพร้านของเหล่าเชฟ และมื้ออาหาร chef’s table ที่มีทั้งมื้อกลางวันและมื้อค่ำโดยเชฟที่ถ้าเราร่ายชื่อเชฟก็บอกได้เลยว่าเป็นงานที่รวมเหล่าร้านอาหารระดับท็อปของเอเชีย และของโลก รวมทั้งเป็นหนึ่งในงานที่รวมเชฟติดดาวมิชลินมากที่สุดในรอบปีเลยทีเดียว ไล่ตั้งแต่เชฟโบ-ดวงพร ทรงวิศวะ และ เชฟดีแลน โจนส์ แห่งร้าน Bo.lan (มิชลิน
แซนด์วิช Panini Lukulus คราฟต์จนอยากให้เป็นเมนูถาวรของ Mandarin Oriental Shop เลย! - หนึ่งในเมนูใกล้ตัวที่เรามองว่ามีวิวัฒนาการและไอเดียบรรเจิดขึ้นเรื่อย ๆ (อร่อยขึ้นด้วย!) แถมยังกินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อก็คือแซนด์วิช ซึ่งแม้จะเป็นอาหารง่ายๆ แต่หลายคนก็จริงจังกับสิ่งนี้ รวมทั้งโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ที่จริงจังเสียจนจับเชฟยอดฝีมือของตัวเอง 3 คน ทั้งเชฟจากร้าน Ciao Terrazza, Lord Jim’s และเชฟ Arnaud Dunand-Sauthier แห่ง Le Normandie, Mandarin Oriental Hotel ห้องอาหารมิชลิน 2 ดาว มาออกแบบแซนด์วิช 3 แบบ 3 สไตล์ เราชอบไอเดียของโรงแรมโอเรียนเต็ลที่ช่วงหลัง ๆ ทำอะไรนอกกรอบจากโรงแรมหรูทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นชุดน้ำชายามบ่ายแบบเจ หรือจะเป็นการเสิร์ฟอาหารมิชลินแบบส่วนตัวในห้องพักหลังยุคโควิด และล่าสุดกับการให้เชฟมาคิดเมนูง่ายๆ อย่างแซนด์วิชในแบบที่แสดงตัวตนของเชฟมากที่สุด และยังขายที่ร้านแมนดาริน
เมนูของคาวที่เอาช็อกโกแลตจาก Pridi Cacaofevier มาเป็นส่วนประกอบ--ที่ไม่ใช่แค่ตัวประกอบ!
งานนี้ไม่มีใครชนะ เพราะว่าดีทั้งคู่ ทั้งอาหารและราคาด้วย! ช่วงนี้ร้านอาหารในกรุงเทพฯ คึกคักสุด ๆ หมดเทศกาล BK Restaurant Week ก็มี Bangkok Restaurant Week ของ wongnai.com มาต่อทันที แถมลิสต์ร้านในปีนี้ยังสนุกขึ้นกว่าเดิม เพราะนอกจากจะมีร้านเด่นๆ ที่เห็นมาทุกปีแล้ว ปีนี้ยังมีร้านไฟน์ไดนิงเยอะขึ้น เข้าไปในเว็บจองจะมีเมนูบอกอยู่แล้ว แต่วันนี้เราอาสามาชิมบางส่วนจากเมนู 1,599 บาทของ 100 Mahaseth และบางส่วนของ UNO MAS แบบ East meets West ผลัดกันออกหมัด ไทยคำ สเปนคำ ที่เราว่าไปกันได้! ฝั่งสเปนเริ่มอุ่นเครื่องมื้อง่ายๆ ด้วยขนมปังกับน้ำมันมะกอก ส่วนทางไทยปล่อยฮุกด้วยคำแน่นหนุบอย่างข้าวจี่ท็อปด้วยปลาร้าปลากระดี่ย่างไว้ด้านบน แม้จะชิ้นเล็กแต่กลิ่นหอมฟุ้งกว่าใครบนโต๊ะ ส่วนรสชาติก็หนักหน่วงมาก ทั้งหอมเค็มมัน แถมยังมียัดไส้ปลาร้าไว้ข้างในด้วย [gallery size="large" ids="19760,19762,19755"] คู่ต่อไปเราขอบอกว่าเป็นจานเรียกน้ำลายที่แท้ ยำสับปะรดหอยแครง คือสับปะรดสดฉ่ำกลั้วน้ำยำสามรสทั้งหวานและสดชื่น ตัวสับปะรดฉ่ำนุ่มตัดกับเนื้อกรอบของหอยแครงที่ลวกมาพอดีไม่คาวไม่เลือด แต่ยังมีความหอมของเนื้ออยู่ครบ ส่วน Tuna tartare
มื้อนี้มีช็อกโกแลตตั้งแต่คาวยันหวาน! งานนี้เรียกว่าเชฟเทพ-มนต์เทพ กมลศิลป์ แห่งร้าน Taan ได้โจทย์หินทีเดียว ในการเอาช็อกโกแลตมาอยู่ในเมนูอาหาร 9 คอร์ส สำหรับมื้อพิเศษที่ร่วมมือกับ Thailand Coffee Fest 2020 และ The Cloud โดยช็อกโกแลตที่ใช้เป็นของ BlueKoff แบรนด์เจ้าใหญ่ในวงการกาแฟที่ตอนนี้หันมาจริงจังเรื่องโกโก้และช็อกโกแลตไปด้วย เกริ่นมาขนาดนี้เราก็ตื่นเต้นแล้ว เลยจะอาสาเล่าให้ฟังครบทุกจานไล่ไปเลย #1 อะโวคาโดปลาแห้ง เป็นปลาแห้งแตงโมเวอร์ชันแตงไทย ใส่อะโวคาโดบด หนักปลา หนักต้นหอม ฝนช็อกโกแลตลงไปด้านบน เริ่มมื้อแบบดึงพาเลตให้เตรียมตัวกับอาหารและการจับคู่รสชาติที่ไม่คุ้นเคย สนุกแบบงง ๆ ในปาก มีเท็กซ์เจอร์ช็อกโกแลตที่แปลกเด่นขึ้นมา แล้วจบด้วยแตงไทยที่ชิ้นใหญ่พอจะอยู่ปิดรส #2 ลาบเลือดโกโก้ ข้าวจี่ เชฟยังไม่หยุดปล่อยหมัด เอาเนื้อสับละเอียด ปรุงพริกลาบคั่ว ใช้ช็อกโกแลตแทนเลือด รสจัด กลิ่นสมุนไพรชัด แรงปัง ๆๆๆ จานนี้เสิร์ฟมากับผักเคียงหลากหลายได้อารมณ์กินลาบแล้วหยิบผักกินคู่ #3 น้ำพริกโกโก้ ปลาอินทรีย์ส้มทอด ผักย่าง จานนี้ปลาอินทรีย์คือรสเข้มเนื้อแน่น ทอดดี
ฤดูกาล BK Restaurant Week วนกลับมาอีกปี ปีนี้เราเลือกมาลองร้านใหม่อย่าง Salvia ร้านอาหารอิตาเลียนน้องใหม่ในโรงแรม Grand Hyatt Erawan บอกตรงนี้เลยว่า นางให้ 4 คอร์สตามแบบฉบับมื้ออาหารของชาวอิตาลีเป๊ะ อิ่มและคุ้ม มานั่งที่โต๊ะได้ไม่นาน ร้านก็เอาใจเราไปเต็มสิบ ด้วยขนมปัง focaccia ที่เสิร์ฟมาอุ่น ๆ มีขอบกรอบบาง เนื้อในนุ่มเหนียว หอมและเค็มนิด ๆ ยิ่งพอมาเจอกับขวดน้ำมันมะกอกเซรามิกเพนต์ลายน่ารักบนโต๊ะ ร่วมด้วยน้ำส้มสายชูบัลซามิกอร่อย ๆ จาก Modena เรียกได้ว่าสำหรับสายคาร์บอย่างเราคือฟินมาก กลับบ้านตอนนี้ไม่เสียเที่ยวแล้ว และนั่นคือก่อนที่มื้อจริง ๆ จะเริ่มด้วยซ้ำ สำหรับเมนู BK Restaurant Week ในแต่ละคอร์สจะมีให้สองตัวเลือก (ราคา 1,000++ บาท) เราไปสองคนก็เลยได้ชิมครบทุกอย่าง [gallery columns="2" size="large"
นอกจากกรุงเทพฯ หรือเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ อย่างเชียงใหม่ ภูเก็ตแล้ว ค่อนข้างยากที่จะหาเชฟทำอาหาร Fine Dining จริงจังในเมืองหัวเมืองอื่นๆ แต่ก็ใช่ว่าจะหาไม่ได้เลย เพราะช่วงหลังๆ มีเชฟเก่งๆ ที่ตัดสินใจกลับบ้าน หรือเลือกย้ายไปอยู่จังหวัดอื่นเพราะเหมาะกับการทำตามความฝันตัวเอง หนึ่งในนั้นคือเชฟก้อง-ก้องวุฒิ ชัยวงศ์ขจร อดีตเชฟอาหารญี่ปุ่นที่หันเข็มทิศตัวเองจากบ้านเกิดในกรุงเทพฯ ไปอยู่เชียงใหม่ ก่อนจะพบรักกับสาวเชียงรายและเลือกลงหลักปักฐานที่นี่พร้อมตั้งร้านอาหาร Locus Native Food Lab ขึ้นมาเพื่อนำเสนออาหารเหนือที่เขามองว่ามีคุณค่าและน่านำเสนอในรูปแบบใหม่ เวลาผ่านไป 3 ปี ร้านกลายเป็นหนึ่งในหมุดหมายของนักชิมที่เดินทางไปจังหวัดเหนือสุดของไทยเพื่อให้ได้กินอาหารพื้นถิ่นแต่หน้าตาต่างถิ่น แถมยอดจองยังแน่นกันแบบข้ามเดือน บางคนถึงกับยอมบินไปเสาร์กลับอาทิตย์เพื่อให้ได้กินร้านนี้ ล่าสุดเชฟย้ายร้านไปอยู่โลเคชั่นใหม่ในพื้นที่ของรีสอร์ทไฮเอ็นด์อย่างป่าสักทอง ตัวร้านแม้จะเหมือนถอดร่างเดิมไปตั้งที่ใหม่ทั้งในเรื่องหน้าตาและการตกแต่ง แต่สิ่งที่แตกต่างคือประสบการณ์ด้านบริการซึ่งตั้งใจออกแบบให้มีความพิเศษขึ้นและเน้นลงรายละเอียดด้านบริการขึ้น แต่ยังคงความเรียบง่ายในแบบปรัชญาของโลกุษ ซึ่งก็คือการให้แขกได้มาสัมผัสกับประสบการณ์ของสถานที่ ณ ช่วงเวลานั้น เหมือนเป็น Magical moment ของการมาเยือนเชียงราย ที่ตั้งเปลี่ยน เป้าหมายไม่เปลี่ยน หลังจากที่ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมา (เชฟประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์บาดเจ็บอย่างหนักเมื่อปีที่แล้ว) ทำให้มองเห็นสิ่งที่ตัวเองต้องการชัดเจนขึ้น นั่นคือชีวิตที่ไม่ต้องไขว่คว้าอะไรมากจนเกินไป เช่นเดียวกับจิตวิญญาณภายในร้านที่เชฟยังคงแนวคิดเดิมเหมือนตอนก่อตั้งร้าน นั่นคืออยากนำเสนอสิ่งดีๆ ของเชียงรายผ่านอาหาร “ตอนแรกผมซื้อไว้สองแปลงคือสร้างบ้านและสร้างร้านข้างกัน แต่มันต้องใช้เงินมาก