Soi Nana Bar Hopping – ชวนไปบาร์ฮอปปิงในซอยนานาเยาวราชกัน
มาดูกันว่าบาร์ค็อกเทลในซอยนานาอย่าง Teens of Thailand, Asia Today, Tax และ Independence มีค็อกเทลแบบไหนให้มา bar hopping บ้าง
มาดูกันว่าบาร์ค็อกเทลในซอยนานาอย่าง Teens of Thailand, Asia Today, Tax และ Independence มีค็อกเทลแบบไหนให้มา bar hopping บ้าง
เซอร์ไพรส์ไม่หยุดตั้งแต่โลโก้ ตัวร้าน เครื่องดื่ม ไปยันห้องน้ำ! นอกจากจะไม่ทิ้งลายความขี้เล่นจากบาร์รุ่นพี่ในเครือเดียวกันอย่าง Teens of Thailand และ Asia Today ตั้งแต่ชื่อบาร์และโลโก้ บาร์ใหม่ล่าสุดอย่าง Tax ยังนำเสนอรสชาติใหม่ ๆ แบบไม่ทำให้เราเบื่อการไปบาร์ โดยวัตถุดิบชูโรงที่นี่ก็คือ vinegar หรือ น้ำส้มสายชูหมักที่ร้านทำเอง [gallery columns="2" size="large" ids="33990,33991"] “เราใช้รส umami มาดึงความ savory ในค็อกเทล” พี่ณิกษ์ อนุมานราชธน เจ้าของบาร์เล่าให้เราฟังว่า เขาเริ่มด้วยการหยิบของใกล้ตัวอย่างเบียร์ และไวน์ มาหมักให้เป็นน้ำส้มสายชู เพื่อดึงเอาความซับซ้อนของรสชาติที่เกิดจากกระบวนการหมักออกมา แปลกเหมือนชื่อก็คือรสชาติของค็อกเทล แต่เป็นความแปลกที่เราเพลิน และเป็นความแปลกที่เพิ่มรสใหม่ ๆ ให้วงการบาร์ในกรุงเทพฯ--นี่แหละประสบการณ์บาร์ใหม่ที่เราอยากได้รับ [gallery columns="2" size="large" ids="34016,34018"] Riesling Vinegar (300 บาท) เป็นดริงก์เดียวในสามแก้วที่เสิร์ฟใส่น้ำแข็ง
ถ้าเพื่อนมีบ้านเก๋ ๆ แบบ Marco ก็จะขอไปเที่ยวบ้านบ่อย ๆ เลย! - ร้านใหม่ล่าสุดของทีม Rabbit Hole (ทีมเดียวกับ Liberation, Crimson Room, Draft Land และ Canvas) ฉีกแนวจากร้านอื่นในเครือ ออกมาเป็นบาร์สไตล์สบาย ๆ บรรยากาศชิล ๆ แต่ยังไม่ทิ้งลายเรื่องดีไซน์ ที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ที่ร้านแนะนำว่า Bar Marco คือบ้านของ Marco เดินเข้ามาในบ้าน เราก็สะดุดตากับเคาน์เตอร์บาร์เล็ก ๆ ที่มีพรอปอย่างตู้เย็น Smeg สีแดงวางอยู่ชิดผนังใกล้ ๆ ให้อารมณ์มุมครัวบ้านเพื่อนแบบที่ไม่ต้องใช้อย่างอื่นมาประกอบให้เยอะแยะ ใช่ เราว่านาย Marco เจ้าของบ้าน นี่มีรสนิยมใช้ได้เลยแหละ ตัวร้านเน้นไม้แบบฟีลอุ่น ๆ กับชุดโต๊ะเก้าอี้ที่ไม่เหมือนกัน ทั้งโซฟาตัวยาว เก้าอี้บุนวม เก้าอี้ไม้ขอบมน รวม
ศุกร์เย็นที่พายุเข้า ติดฝนที่ไหนจะดีต่อใจเท่าบาร์ลับที่มี live jazz ไม่ได้พาดหัวแบบนี้เล่น ๆ เพราะเมื่อศุกร์เย็นที่ผ่านมาเราอยู่ที่ Siwilai Sound Club บาร์น้องใหม่ในย่านเจริญกรุง ที่เพิ่งเปิดสด ๆ สัปดาห์นี้เลย ที่ว่าลับก็เพราะเปิดอยู่ที่ด้านหลังของตึก Central: The Original Store [gallery columns="2" link="none" size="large" ids="13906,13909"] มองจากด้านหน้าไม่เห็น เพราะทางเข้าอยู่ในซอยด้านหลัง นอกจากลับ ใหม่ แล้วก็ยังเก๋มากด้วยการแต่งร้านด้วยเทสต์แบบ SIWILAI ที่ไว้ใจได้แน่ [gallery link="none" columns="2" size="large" ids="13918,13907"] ตัวบาร์มีสองชั้น ชั้นล่างตั้งชื่อว่า Live Room ให้รู้แน่ว่ามีดนตรีสด ตอกย้ำด้วยแกรนด์เปียโนหลังใหญ่ตรงกลาง และนักดนตรีแจ๊สที่มาบรรเลงบทเพลงให้ฟัง ส่วนชั้นสองเป็น Audiophile Bar ที่เชลฟ์หลังบาร์ไม่ได้เต็มไปด้วยขวดสปิริต แต่กลับเป็นแผ่นเสียงนับร้อย ๆ
ค็อกเทลแมงดา แม่เป้ง หนอนไหม และหนอนด้วงสาคู!-ถือว่าเป็นภาคต่อของเมนู Explorer ก็ไม่ผิด เพราะจากในเมนูที่ Liberation พาออกสำรวจรสชาตินั้นมี แมงดา เป็นส่วนหนึ่งอยู่แล้ว ครั้งนี้นอกจากแมงดาจะมากับส่วนผสมใหม่ ก็ยังพาเพื่อนมาอีกสามตัว สามรสชาติ สามแก้วกันไปเลย “แมลงมักถูกพูดถึงในเรื่องการเป็นแหล่งโปรตีน และอาหารแห่งอนาคต มีการศึกษาเรื่องข้อมูลโภชนาการและการเพาะเลี้ยงเยอะมาก แต่ไม่ค่อยมีใครศึกษาเรื่องรสชาติเลย” โจอี้-กฤษฎ์ ประกอบดี บาร์เทนเดอร์ของร้านลิเบอเรชันเราให้เราฟัง แน่นอนว่าเขา กอฟ-กิติบดี ช่อทับทิม และทีมงานหลังบาร์ที่นี่อาสาศึกษาเรื่องราวรสชาติของแมลงด้วยตัวเอง จนเป็นที่มาของเมนูใหม่นี้ เราเริ่มตื่นเต้นตั้งแต่แก้ว Waterbugs (440 บาท) ที่มาในเวอร์ชัน 2 ใช้เบสเป็น Lanna Thai Spirit ผสมกับแมงดากลั่น และ NAMMON แบรนด์โทนิกไทยที่ทำโทนิกรสแมงดาขึ้นมาสำหรับที่นี่โดยเฉพาะ ถ้าคาดหวังกลิ่นฉุนแบบแมงดา เราว่ามีผิดหวัง เพราะพอกลั่นออกมาแล้วเหลือเฉพาะกลิ่นหอมหวาน แก้วนี้เลยสดชื่นดื่มง่ายสวนทางกับชื่อแมงดาไปเลย ส่วน And An Ant (440 บาท) นี่ฟังแค่ชื่อก็สนุกแล้ว
Philtration ไม่ได้ลับตามกระแส แต่ว่าอยู่สุดซอย ชั้นใต้ดิน และบรรยากาศดี!- ใครที่ไม่เคยไปซอยเกษมสันต์ 3 หรือเคยได้ยินชื่อร้านอาหารบ้านหมอมี อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านที่เคยเป็นต้นกำหนดยาหมอมีในตำนานจะเปิดให้คนเข้าเยี่ยมชมโดยมีทั้งคาเฟ่ และร้านอาหาร รวมทั้งมินิมิวเซียมด้านหลัง แม้แต่คนที่เคยไปเยี่ยมชมบ้านหลังนี้มาแล้วอย่างเรายังไม่เคยรู้เลยว่าที่นี่มีชั้นใต้ดินอยู่ด้วย แถมตอนนี้ยังมีบาร์เปิดใหม่อยู่ข้างในอีกต่างหาก พอเข้าไปได้ก็พบกับตัวบาร์ที่ทำเราร้องว้าวเบา ๆ กับความสวยแปลกตา ตัวร้านเป็นเหมือนห้องรับรองลับ สไตล์สปีกอีซี มีเก้าอี้หนังสีเขียวเข้มตั้งสง่าอยู่บนพื้นกระเบื้องสไตล์โบราณที่ริ้วรอยเหมือนผ่านกาลเวลามายาวนานพอ ๆ กับตำนานบ้านกว่าร้อยปี ด้านขวาเดินผ่านโค้งประตูโครงเหล็กเผยให้เห็นโซนหน้าบาร์ แต่หากเดินลึกเข้าไปด้านในก็มีโซฟายาวพร้อมพื้นหลังสีเขียวสดชื่นที่สามารถรับรองกลุ่มกว่าสิบคนแบ่งเป็นมุมส่วนตัวได้ ส่วนด้านซ้ายเป็นกำแพงและหน้าต่างที่มีคราบความเก่าเข้ากับเพดานไม้ที่ได้รับการขัดเงาดูแลเป็นอย่างดี ดูก็รู้ว่าดีไซเนอร์ตั้งใจเก็บดีเทลทุกอย่างของห้องนี้ไว้แบบดั้งเดิมจริงๆ นะ-ณชพล เกษมสุวรรณ ทายาทบ้านหมอมีและหนึ่งในหุ้นส่วนร้านเล่าให้ฟังว่า ห้องนี้เดิมเป็นห้องที่หมอมีใช้เป็นที่ปรุงสูตรยาต่างๆ โดยมีคลองแสนแสบด้านหลังเป็นเส้นทางหลักที่ใช้ในการขนส่งออกไปขาย รวมทั้งยาอุทัยหมอมีก็ได้รับการผสมขึ้นที่ห้องใต้ดินนี้ด้วย เลยนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบบาร์ที่มีความเป็นร้านยาโบราณอยู่หน่อย ๆ ส่วนชื่อ Philtration ก็มาจากการคำว่า Philter ที่แปลว่า ยาเสน่ห์ ที่เอามาเล่นกับความเป็นมาของสถานที่ซึ่งเป็นบ้านของนักปรุงยาอย่างหมอมีนั่นเอง ถึงจะเป็นบาร์เปิดใหม่ แต่คนหลังเคาน์เตอร์ก็คือคนคุ้นเคยในวงการบาร์อย่าง Shavinraj Gopinath ที่ใช้ชื่อในวงการว่า The Fairy Godfather ซึ่งมีประสบการณ์ทำคลับดังๆ ในสิงคโปร์อย่าง
เคยจิบเนโกรนีที่ละลายแล้วแต่ยังอร่อยอยู่ไหม? คลาสสิกเนโกรนีแก้วนี้ที่ 1919 ทำให้เราต้องหันไปถาม เบล-ภารดี เฮดบาร์เทนเดอร์ของร้านว่า อะไรทำให้เนโกรนีบางแก้วอร่อยกว่าแก้วอื่น ทั้ง ๆ ที่เป็นค็อกเทลคลาสสิกสูตร 1:1:1 ที่ดูไม่ซับซ้อนอะไร “นอกจากเหล้าที่เลือกใช้ที่มีผลมาก ๆ แล้ว ข้อสำคัญในการทำเนโกรนีคือการคน เพราะว่าส่วนผสมจะเข้ากันแค่ไหน น้ำแข็งละลายเท่าไร อยู่ที่การคน ซึ่งเป็นขั้นตอนการชงขั้นตอนเดียวของค็อกเทลนี้” อันนี้เรียกว่าเสน่ห์ปลายบาร์สปูนก็คงไม่ผิด นี่แค่เนโกรนีตัวคลาสสิกเราก็ยังตื่นเต้นขนาดนี้ แล้วลองนึกดูว่าในเมนูก็ยังมีทวิสต์อีกหลายตัวให้เลือก ทั้งตัวที่ปาล์ม-ศุภวิชญ์ มุททารัตน์ หัวเรือใหญ่ฝั่งเครื่องดื่มของ Foodie Collection กลุ่มร้านอาหารเจ้าของร้านนี้ (รวมถึง Vesper, Il Fumo, La Dotta) นำไปแข่งในรายการ Campari Bartender Competition ที่เขาได้แชมป์ภูมิภาคมา ไปจนถึงตัวที่เอจในถังไม้ ใส่ทรัฟเฟิล และกระทั่งตัวดื่มง่ายสำหรับคนที่ยังไม่อิน ถ้าถามว่า 1919 เขาจริงจังเรื่องเนโกรนีขนาดไหน ก็บอกเลยว่าชื่อ 1919 มาจากปีที่มีเนโกรนีแก้วแรกเกิดขึ้น ผ่านมา 100 ปีพอดี และนอกจากจะเป็นบาร์ที่เน้นค็อกเทลคลาสสิกตัวนี้ ที่นี่ยังเป็นบาร์หลักของ Campari หนึ่งในส่วนผสมหลักของเนโกรนีอีก นอกจากเนโกรนีแล้วยังมีค็อกเทลตัวอื่นที่นำกลิ่นอายอิตาลีมาทวิสต์ ตัวที่ถูกใจเรามากคือ
ปลายเดือนมิถุนาวนมา เราก็ออก bar hopping ดื่มเนโกรนีอีกครั้ง ปีนี้พิเศษกว่าครั้งอื่น เพราะดริงก์คลาสสิกตัวนี้มีอายุครบ 100 ปีพอดี!- เผื่อใครยังไม่รู้จัก เราขอเกริ่นสักหน่อย ว่า Negroni เป็นหนึ่งในค็อกเทลคลาสสิก ที่มีต้นกำเนิดจากอิตาลี (เมื่อ 100 ปีที่แล้ว!) มีส่วนผสมแค่สามอย่าง คือจิน เวอร์มุธ และคัมปารี อย่างละส่วน ผสมใส่แก้วโอลด์แฟชัน แต่งด้วยผิวส้มหนึ่งสไลซ์ ส่วน Negroni Week เป็นอีเวนต์ที่แบรนด์ Campari หนึ่งในส่วนผสมหลักในเนโกรนีชวนบาร์ต่าง ๆ มา ร่วมกันทำเพื่อสังคม ด้วยการบริจาคเงินส่วนหนึ่งจากการเสิร์ฟเนโกรนีหรือค็อกเทลจากคัมปารีให้กับมูลนิธิหรือองค์กรการกุศลที่อยากสนับสนุน ครั้งนี้เราไปบาร์ฮอปปิงในทองหล่อมา 4 ร้านรวด โดยแต่ละร้านก็มีค็อกเทลพิเศษของตัวเอง นอกจากเนโกรนีแบบคลาสสิกด้วย เริ่มที่ Rabbit Hole แล้วข้ามไป Black Amber ขึ้นไปต่อที่ 008