ตั้งแต่เริ่มโชว์ด้วย jalapeño cheddar biscuit อุ่น ๆ กราฟอารมณ์เราในมื้อนี้ก็พุ่งไปแบบไม่ตกเลย!
–
ถึงเราจะชอบการกินเทสติ้งเมนู ด้วยความตื่นเต้นกับสิ่งที่เชฟจะนำเสนอ แถมไม่ต้องคิดวุ่นวายกลัวจะพลาดจานอร่อยในเมนู แต่เราก็ชอบมาก ๆ เวลาที่เชฟที่ทำร้านระดับไฟน์ไดนิง เลือกเปิดร้านอาหารแบบสั่งได้จากเมนู เพราะมันหมายความว่าถ้าเราชอบ เราจะมาได้บ่อยขึ้น ทั้งเพราะว่าเราจะได้กินอาหารฝีมือระดับนั้นราคาที่ไม่แรงเท่าการกินเทสติ้ง และเพราะว่าเราเลือกได้ว่าจะกินแค่ไหนในมื้อนั้น แถมมาคราวหน้ามันก็จะยังมีสิ่งให้เราลองอีก
ที่พูดมาทั้งหมดจะบอกว่าดีใจที่เชฟ Dan Bark เปิด Caper ขึ้นมาขนาบข้างกับ Cadence – เรียกได้ว่าอยู่ใต้ชายคาเดียวกันเลยก็ไม่ผิด ต่างกันที่ Cadence เสิร์ฟ tasting menu ส่วน Caper เป็นอะลาคาร์ต
เชฟแดนทำอาหาร New American มาตั้งแต่ร้านแรกที่มาเปิดที่ไทย (Upstairs at Mikkeller ร้านหนึ่งดาวมิชลินที่ปิดลงไปเพื่อเปิดร้านนี้) ซึ่งเขาพกประสบการณ์จากอดีตร้านสามดาวอย่าง Grace ที่ Chicago ติดตัวมาเต็มกระเป๋า
เราว่าอาหารของเขามีจุดเด่นที่องค์ประกอบอันหลากหลาย พร้อมที่จะเอารสชาติมาตัดรส เพิ่มสัมผัสเพื่อตัดความน่าเบื่อ รวมกันเป็นหนึ่งจานที่เป็นหนึ่ง journey ในตัว แปลง่าย ๆ ว่า สนุก อร่อย! แถมเชฟแดนยังใช้ความเอเชียของตัวเองได้เก่งมากในอาหารลูกผสมแนวนี้
เราก็เลยจะเจอจานแบบ beef tartare ที่ปรุงแบบตะวันออก มีกลิ่นน้ำมันงา รสโกชูจังบาง ๆ มีงาโรย ทั้งยังมีลูกแพร์กรอบหวาน หั่นเป็นเต๋าเล็กให้ไม่กวนรสชาติเนื้อเกินไปนัก คลุกรวมกันกับไข่แดงแล้วทั้งคำมาครบทั้งความฉ่ำ ความหนักแน่นของรสเนื้อ ที่ได้ความเบาสดชื่น กินคู่กับข้าวเกรียบเนื้อกรอบเบาเข้ากันดีมาก!
อีกจานที่เราชอบมากคือ Hokkaido scallops จานหอยเชลล์ที่เราชอบทุกองค์ประกอบ ทั้งแยกและรวมกัน ตั้งแต่หอยเชลล์สดที่นาบกระทะมาสุกพอดี และริซอตโตข้าวบาร์เลย์หนุบหนับ ในจานยังมีดอกกะหล่ำย่าง ดอกกะหล่ำดอง เคเปอร์ รวมกันได้ครบทุกรสแบบกลมมากจนไม่มีอะไรจะติ
รวมถึงอีกหลายจานประทับใจที่เราอยากให้ไปตื่นเต้นเองไม่สปอยล์ และทั้งหมดนี้อยู่ในครัวที่ห่างกับเราเพียงหน้าต่างกั้น สมกับตีมที่เรารู้สึกถึงโรงละครในช่วง 1920 ซึ่งสปอตไลต์ฉายไปที่เวทีของพลพรรคชาวครัวที่ทำงานขะมักเขม้นกันอยู่ด้านในครัวใหญ่ ที่เป็นสะพานเชื่อมไปร้าน Cadence ได้ ใครชอบดูเชฟทำอาหาร เราแนะนำให้จองโต๊ะติดครัว เรียกได้ว่า front row!
ที่เราประทับใจมาก ๆ อีกอย่างคือของหวานที่ไม่ลดความตื่นเต้นลงไปจากของคาวเลย ทั้ง foie-rrero bites ที่เอามูสฟัวกราส์กับส้มมาจับคู่กัน เคลือบช็อกโกแล็ตเสิร์ฟเป็นชิ้น ล้อเลียนขนมช็อกโกแลตเฮเซลนัตที่โด่งดัง และอีกอย่างที่สุดมาก ๆ คือ banana bread and bacon เค้กกล้วยหอมที่เรายกให้ดีที่สุดในเวลานี้ เสิร์ฟมากับไอศกรีมเบคอน ราดน้ำเชื่อมเมเปิลหอมรัม ฝีมือเชฟอีฟ Evelyn Yap ที่รับหน้าที่ head chef ครัว Caper เสริมให้จบมื้อแบบ standing ovation
ใครที่ก้าวเข้ามาเจอความอลังการของตีม Art Deco ในร้านแล้วอยากดื่มอะไรหน่อยก็ไม่ผิดหวัง เพราะเขามีทั้งบาร์ค็อกเทลแยก
ด้านหน้า ที่ได้บาร์เทนเดอร์มือดี มาตีคู่กับ sommelier มากประสบการณ์ที่เราอยากกลับไปคุยเรื่องไวน์ด้วยอีก
เราว่ามา Caper แล้วได้ครบ จบ ประทับใจ ทั้งอาหาร ของหวาน เครื่องดื่ม ฝีมือระดับคว้าดาวของเชฟแดน ในพื้นที่ครัวเดียวกันที่เชฟคุมได้ไม่ยาก และทีมงานที่แข็งแกร่งในทุกด้าน สำหรับร้านที่แคชชวลลงมา ราคาที่ไม่สูงเท่า tasting menu ที่นี่เป็นตัวเลือกที่ดีมาก ๆ ที่นึงในกรุงเทพฯ ตอนนี้เลย