48 Hours in Helsinki
[Spreads x POHZ]
ขาว หนาว ฟิน เฮลซิงกิ 48 ชั่วโมง
หลังจากที่พาไปชมเกาะ Suomenlinna มาก่อนแล้ว ก็ได้ฤกษ์ไปเหยียบเมืองหลวงของฟินแลนด์อย่างเฮลซิงกิ ที่เราเลือกใช้เวลาไม่มากไม่น้อยอยู่ 2 วัน แต่เต็มอิ่มทั้ง 48 ชั่วโมง
ก่อนเดินทางไปก็คิดว่าอากาศคงจะไม่หนาวเท่าไร เพราะเป็นช่วงย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ คงไม่มีหิมะให้ดู แต่พอมองผ่านหน้าต่างเครื่องบินออกไปตอนแลนดิ้งก็เห็นเมืองขาวโพลนปกคลุมไปด้วยสีขาวของหิมะทั้งเมือง
ความหนาวยังไม่ปะทะกับเราจนนั่งรถไฟถึงตัวเมืองแล้วพบว่าลมแรงจนจะแข็งตายได้ที่หน้าสถานีรถไฟ แต่นั่นยังไม่พีคเท่ากับการเดินลากกระเป๋าเดินทางไปยังโรงแรมที่แสนจะทุลักทุเลเพราะบนทางเท้าที่เต็มไปด้วยก้อนกรวด
แต่แน่นอน ความหนาวเหน็บแค่ไหนก็หยุดเราไม่ได้ เพราะทันทีที่ถึงโรงแรม เราก็เปิดกระเป๋าดึงโค้ชตัวหนามาสวมก่อนออกไปพักจิบกาแฟกินครัวซองต์ พร้อมตั้งสติและวางแผนเที่ยว ใช่! วางแผนกันตอนนี้แหละ!
DAY 1
ด้วยความที่สถานที่เที่ยวส่วนใหญ่อยู่ใจกลางเมือง อารมณ์ติสต์ของเราก็มาพร้อมกับแผนการเดินทางเที่ยวเมืองไปเรื่อย ๆ เพราะระบบขนส่งมวลชนของเมืองดีงาม มีทั้งรถไฟบนดินออกจากเมือง รถไฟใต้ดินวิ่งในเมืองและเขตรอบ ๆ เมือง มีรถราง รถเมล์ และเรือเฟอรรี่ข้ามเกาะ แต่หลัก ๆ ที่เราใช้ในวันนี้คือ รถไฟ รถเมล์ และรถราง แถมการซื้อตั๋วก็สะดวกมากผ่านทางแอพพลิเคชันในมือถือชื่อ HSL Mobileticket ราคาเริ่มต้น 2.20 ยูโร ใช้งานได้นาน 80 นาที และเฮลซิงกิก็เป็นอีกเมืองที่ไว้ใจประชากรตัวเองมาก เพราะหลังจากซื้อตั๋วแล้วก็สามารถใช้บริการขนส่งได้ทันทีแบบไม่ต้องผ่านเครื่องหย่อนบัตร ตรวจตั๋วให้เสียเวลา (แต่ถ้าใครคิดโกงแล้วถูกจับได้ โดนปรับแพงหูดับเลยนะจ๊ะ)
หลังจากได้ตั๋วจากแอพฯ แล้ว เราก็เริ่มจากแลนด์มาร์กแรกที่ตั้งตระหง่านใจกลางเมืองแบบไม่ผ่านไม่ได้ก็คือ Helsinki Central Station สถานีรถไฟที่อายุครบ 100 ปีพอดิบพอดี ที่นี่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Art Deco สร้างจากหินแกรนิตตัดขอบกับทองแดงที่ปัจจุบันกลายเป็นสีเขียวมินต์ จากการเกิดปฏิกิริยาออกซิไดซ์กับอากาศ นอกจากหอนาฬิกาที่เป็นสัญลักษณ์ของสถานีแล้ว ทางเข้ายังมีงานศิลปะเป็นผู้ชายถือโคมไฟกลมที่แกะสลักจากหินทั้งชิ้นเป็นคู่อยู่ทั้งสองข้างด้วย
เห็นรูปไม่ค่อยพลุกพล่าน แต่ที่นี่เป็นสถานีรถไฟหลักที่มีทั้งรถไฟวิ่งเชื่อมต่อภายในเมืองเฮลซิงกิและเมืองอื่นๆ รวมถึงสนามบิน ซึ่งแต่ละวันจะมีผู้คนใช้สถานีถึงวันละ 200,000 คน ตอนช่วงที่เราไป ด้านข้างของสถานียังมีลานสเกตขนาดใหญ่ด้วย
เดินเล่นชมเมืองเก็บภาพไปเรื่อยๆ เราก็เดินมาถึง Helsinki Cathedral โบสถ์สูงตระหง่านบนเนินบันไดหน้า Senate Square โบสถ์แห่งนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญของเมือง โดยสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1830 (แค่เกือบ 190 ปีเอง) ความที่ตั้งอยู่บนเนินสูง ทำให้มองเห็นท่าเรือของเมืองใกล้เคียง รวมทั้งเกาะ Suomenlinna แหล่งตากอากาศยอดนิยมของชาวเฮลซิงกิด้วย (อ่านเกี่ยวกับเกาะนี้ได้ที่ https://bit.ly/2Woz8ev)
ก่อนจะข้ามไปเกาะ Suomenlinna เราเดินไปชม Market Square ลานกว้างแถวท่าเรือที่ช่วงหน้าร้อนจะเป็น Farmer Market และถัดไปไม่ไกลก็คือแหล่งชุมนุมยอดฮิตของเมืองอย่าง Allas Sea Pool ที่เป็นทั้งสระว่ายน้ำ สปา และซาวน่าซึ่งป๊อปมากในหมู่คนที่นี่ ที่สำคัญการออกแบบสระยื่นออกไปยังน้ำทะเลยังทำให้ที่นี่เป็นหนี่งในสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับการยกย่องว่าเจ๋งที่สุดด้วย
แน่นอนว่า ในขณะที่เรายืนแข็งท่ามกลางอากาศยะเยือก เราก็มองเห็นชาวเมืองทั้งหลายใส่ชุดว่ายน้ำวิ่งฝ่าความหนาวออกมาจุ่มตัวลงทะเล ซึ่งถือเป็นวิธีหนึ่งในการซาวน่าของคนแถบสแกนดิเนเวียที่คนเมืองร้อนอย่างเราได้แต่ยืนมองตาปริบๆ
ถัดไปไม่ไกลนักมีโบสถ์ Uspenski Cathedral บนเนินหินที่ตั้งโดดเด่นมาแต่ไกล เรามองว่าที่นี่สวยกว่า Helsinki Cathedral อีกนะ เดินตามแนวของเนินหินไปเรื่อย ๆ มีตึกแถวยาวๆ เรียงรายไปตามขอบทะเล โดยเรามีจุดหมายอยู่ที่ร้าน Johan & Nyström ที่ได้รับการแนะนำมาจากคนฟินแลนด์ให้มาแวะ
บรรยากาศในร้านแตกต่างจากความเหงาข้างนอกอย่างสิ้นเชิง เดินผ่านตึกอิฐเข้ามาก็จะพบกับบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง มีเครื่องดื่มอย่างชา กาแฟให้เลือกลองชิมมากมาย แล้วเราก็ได้กาแฟร้อนๆกินก่อนนั่งเรือไปเที่ยวเกาะ Suomenlinna ปิดท้ายวันแรก
DAY 2
วันที่สองเราเริ่มต้นกับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างโบสถ์หิน Temppeliaukio Church ซึ่งมีอายุกว่า 50 ปี โดยโบสถ์ที่มีคนกว่าครึ่งล้านมาเยี่ยมชมทุกปีออกแบบโดยสองพี่น้องสถาปนิก Timo และ Tuomo Suomalainen ที่ใช้วิธีการเจาะหินและก่อโครงสร้างขึ้นคลุมด้วยโดมทองแดงที่ทำช่องไว้ให้แสงธรรมชาติลอดลงมายังพื้นที่นั่งด้านล่างที่ล้อมด้วยกำแพงหิน ที่นี่มักถูกใช้เป็นที่แสดงคอนเสิร์ตเพราะคุณภาพเสียงดีมาก แถมยังเป็นที่นิยมเรื่องขอความรักด้วยนะ ค่าเข้าเพียง 3 ยูโรเท่านั้น (ถ้าได้แฟนจริงก็แสนคุ้มนะ) ใครมีแรงเดินขอให้ไป Sibelius Monument สถาปัตยกรรมแท่งเหล็กทรงท่อสุดเท่ อีกแหล่งเช็คอินกลางสวน Sibelius ใกล้ ๆ กัน แต่เราหิวเลยข้ามไปเลยจ้า
หลังจากอิ่มท้องเราก็ไปต่อกันที่ The Parliament House ตึกรัฐสภา ที่ตั้งเด่นแต่เงียบเหงาอย่างบอกไม่ถูก แต่เป็นมุมถ่ายรูปที่น่าสนใจที่หนึ่งเลย ใกล้ ๆ ฝั่งตรงข้าม สายเสพศิลป์ต้องไม่พลาด Museum of Contemporary Art หรือ Kiasma ที่แค่ตัวอาคารภายนอกก็น่าสนใจแล้ว ข้างในก็สวยตั้งแต่ทางเดินเข้าไปเลยทีเดียว ค่าเข้าเริ่มที่ 12 ยูโร
นอกจากนี้ยังมีมิวเซียมอีกแห่งที่แค่พูดชื่อก็ทำเอาหิวขึ้นมาเลยกับ Helsinki Art Museum หรือ HAM ที่รวมงานอาร์ตของเมืองมากมายไว้ที่นี่ แต่นอกจากงานอาร์ตแล้ว เรายังถูกใจกับร้านอาหารของกินในนี้แบบหัวปักหัวปำ โดยที่นี่มีทั้งร้านอาหาร โรงหนัง และร้านค้าต่าง ๆ ที่ดูดเงินในกระเป๋าเราไปหมดเกลี้ยง
ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์เป็นห้างชื่อ Kamppi Center ห้างที่เป็นแหล่งรวมวัยรุ่น อีกทั้งด้านล่างเป็นสถานีรถบัส และลึกลงไปเป็นสถานีรถไฟฟ้า ตรงที่ลานกว้างด้านหน้าห้างจะมี Kampens Kapell โบสถ์เล็ก ๆ ที่สะดุดตาด้วยรูปทรงรี ๆ สีทอง ๆ มองเห็นแต่ไกล สร้างขึ้นเพื่อเป็นจุดที่ให้ผู้คนในเมืองได้มาสงบจิตสงบใจในท่ามกลางความวุ่นวายของละแวกนี้ แม้ว่าจะเปิดได้ไม่นานแต่ก็มีคนแวะมาไม่หยุด
อีกสิ่งที่ทุกคนที่มาที่นี่ห้ามพลาดคือการเข้าร้าน MARIMEKKO กระเป๋าผ้าลายปรินต์ที่สาวไทยนิยมถือกันมาก ๆ เพราะฟินแลนด์เป็นบ้านแม่ที่ถือกำเนิดแบรนด์ขึ้น ที่สำคัญมี Marimekko Outlet ห่างจากเมืองประมาน 20 นาที ซึ่งเราบอกเลยว่าเป็นทริปที่คุ้มค่าสำหรับคนที่ตามหาลายที่หายาก อดใจรอนิดเดี๋ยวเราเขียนแยกให้อ่านกันแบบเต็ม ๆ
และถึงแม้จุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวที่มาฟินแลนด์คือ ขึ้นเหนือไปล่าแสงเหนือ เยี่ยมหมู่บ้านลุงแซนต้า แต่เราขอแนะนำให้คนใช้เวลาที่นี่สักหน่อยก็จะเห็นว่าเฮลซิงกิ 48 ชั่วโมงก็ทำเราอิ่มเอมไปกับทริปนี้ได้เลย
เดี๋ยวแวะเล่าเรื่อง Marimekko Outlet แล้วตอนต่อไปเราจะพาไปนั่งเรือจากเฮลซิงกิไปแวะเที่ยว Day Trip ที่เมือง Tallinn ของ Estonia มาดูว่าในหนึ่งวันหิมะตก เราไปไหนได้บ้าง ติดตามที่เพจ Spreads ได้เลย
#Spreadsbkk #Helsinki #48hoursinHelsinki #Finland #travel #findtherfinn #visitFinland