Home2018

October 2018

เขาว่ากันว่าคนที่มีอะไรคล้ายกันจะดึงดูดกัน ในเคสนี้เราว่าจริงตามนั้น เพราะความจริงจังด้านพาสตาของลาดอตต้า (La Dotta) ดึงดูดหัวใจรักพาสตาของเรามายังร้านน้องสาวที่คลอดตามกันมาติดๆ อย่าง ลาดอตตา ลากราสซา (La Dotta La Grassa) ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นน้องสาว แต่น้องคนนี้ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากจะมีพื้นที่กว้างขวางกว่าแล้ว ยังมีความสวยแกลม น่ารักขี้เล่นขึ้นอีกหลายขุม ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงเรียกได้ว่ามีความซับซ้อนน่าค้นหาคนหนึ่งเลยทีเดียว ไล่ตั้งแต่หน้าร้านโทนสีน้ำเงินสดตัดชมพูอ่อนด้านในร้าน แซมด้วยความแวววับของเครื่องประดับสีทอง กับการสะท้อนของกระจกและหน้าต่าง ก่อนจะประกาศความขี้เล่นก๋ากั่นออกมาอย่างไม่เหนียมอายด้วยไฟนีออนสีชมพูสด! มาตอนกลางวันได้ลุกใส ๆ แต่กลางคืนเธอก็จะแซ่บได้เหมือนกัน แน่นอนว่าเธอไม่ได้ดูสลับซับซ้อนขึ้นแต่เฉพาะภายนอกเท่านั้น แต่รวมถึงเมนูอาหารที่หลากหลายขึ้นมากจากร้านพี่สาว จนเรียกได้ว่าเป็นร้านอาหารอิตาเลียนเต็มรูปแบบที่ครอบคลุมอาหารทั้งมื้อเช้า กลางวัน เย็น ด้วยเวลาเปิดร้านที่ยาวตั้งแต่หกโมงครึ่งไปจนถึงห้าทุ่ม นี่ยังไม่รวมว่าถ้าไม่หิวเท่าไรแต่กระหายแอลกอฮอล์ขึ้นมาก็มานั่งดริงก์กันได้ทั้งไวน์และค็อกเทลด้วย แต่ทั้งหมดทั้งมวล ทีเด็ดของร้านยังอยู่ที่พาสตา โดยโลโก้ร้านนี้เป็นพาสตาคองคิเย (conchiglie) รูปเปลือกหอย ที่บอกใบ้เราเป็นนัย ๆ ถึงพาสตาทำเองของร้าน ซึ่งมีมากกว่าพาสตาสดทำมือของร้านลาดอตตา (ที่ใช้โลโก้เป็นรูปตอร์เตโลนี [tortelloni] พาสตาห่อไส้) โดยร้านใหม่ได้อิมพอร์ตเครื่องทำพาสตายี่ห้อ La Monferrina มาจากอิตาลี ที่เขาว่าเป็นระดับเฟอร์รารีของวงการเครื่องทำพาสตาโดยใช้แป้งที่เลือกมาพิเศษจากอิตาลี ฟังแค่นี้เราก็ตื่นเต้นแล้ว พอมาชิมจริง ๆ ยิ่งตื่นเต้นกว่า

Read More

ตอนเพื่อนส่งลิงก์ Homeburg มาให้ ต่อมความสงสัยก็กระตุกทันทีว่าเบอร์เกอร์เจ้านี้มีดียังไง จนลองสืบไปก็พบว่าเบอร์เกอร์เจ้านี้ยังไม่มีร้านรวงเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ แต่ยังอยู่ขั้นทดลองสูตรที่เปิดให้จองเข้าไปลองชิมเรื่อยๆ ที่สำคัญยัง “ใจถึง” ขนาดให้ลูกค้าจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ที่อยากจ่าย! แต่ถึงจะอยู่ในขั้นทดลอง การจองเข้าไปกินเบอร์เกอร์เจ้านี้เรียกได้ว่ายากเย็นพอๆ กับการจองตั๋วคอนฯ ดังๆ เลยทีเดียว เพราะช่วงค่ำคิวเต็มยาวไปถึงสิ้นเดือนนี้แล้ว แถมต่อจากนั้นก็ยังไม่รู้จะเปิดให้จองอีกไหม โชคดีทีมเรามือไวจองไปกินในรอบบ่ายวันเสาร์ที่ผ่านมา ความรู้สึกการเดินเข้าไปกินเบอร์เกอร์เจ้านี้ออกจะแตกต่างจากการกินปกติ เพราะรอบนี้เราเดินผ่านร้านอาหารต่างๆ พุ่งตรงไปยัง Hubba-to โคเวิร์กกิงสเปซรางวัลดีไซน์ระดับโลกเพื่อไปยัง Food Lab สตูดิโอทดลองทำอาหารของที่นี่ ด้วยความที่มาครั้งแรก การเปิดประตูเงอะงะของเราทำให้ ไทกิ-รัตนพงศ์ ซูโบต้า ผู้ริเริ่ม Homeburg และเพื่อนร่วมอุดมการณ์อย่าง จอม-ฉันท์ทัต ศิริมงคลเกษม มาช่วยเปิดประตูกระจกบานใหญ่ให้ และบทสนทนาของลูกค้าผู้อยากรู้อยากเห็นอย่างเรากับคนทำเบอร์เกอร์ก็เริ่มต้นขึ้น “นึกครึ้มอะไรถึงเริ่มทำเบอร์เกอร์ และทำไมต้องเป็นที่นี่ด้วย?” เรายิงคำถามตั้งแต่ยังเตรียมอุปกรณ์จดไม่เสร็จ “ผมอยากทำเบอร์เกอร์กินเองครับ” ไทกิตอบแบบไม่อ้อมค้อม โดยความอยากนี้เริ่มขึ้นหลังจากที่เจ้าตัวคิดถึงสารพัดอาหารมันย่องที่เคยกินเมื่อครั้งไป ‘work and travel’ ที่รัฐวอชิงตันในสหรัฐฯ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือเบอร์เกอร์ “ผมตระเวนกินเบอร์เกอร์ร้านต่างๆ ในกรุงเทพฯ แล้วก็พบว่ามันอร่อยแหละ แต่ผมจะติดเรื่องขนมปัง ผมเริ่มอยากกินเบอร์เกอร์ที่เนื้อขนมปังเนื้อไม่แน่นหรือหนักเนยเหมือนร้านอื่นๆ

Read More

TE Time and Space หยุดเวลาแห่งชาไว้ที่ทองหล่อ ช่วงหลังมานี้ นอกจากวัฒนธรรมกาแฟที่เติบโตขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่ในบ้านเรา การดื่มชาก็เริ่มเข้ามาอยู่ในไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เราได้สัมผัสสกับร้านชาที่จริงจังในเรื่องวิถีแห่งชามากขึ้นตามไปด้วย นอกจากร้านชาแล้ว แบรนด์ชาเล็ก ๆ ที่ไม่ได้ทำเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ก็ค่อย ๆ มีมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือแบรนด์ TE ที่หลายคนคุ้นตาเพราะอาจจะเคยไปเจอในอีเวนต์ และตลาดนัดต่าง ๆ ในคลาสสอนชงชาที่ The Commons หรือผ่านเฟสบุ๊คและอินสตาแกรมของ @thetepot เอง ข่าวดีคือตอนนี้ไม่ต้องคอยติดตามว่าจะไปเจอร้านได้ที่อีเวนต์ไหนบ้างแล้ว เพราะ TE เขาเปิดร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ของตัวเองในซอยทองหล่อ 25 เป็นอีกตัวเลือกสำหรับคนรักชาในย่านนี้ เราเดินจากปากซอยทองหล่อ 25 เข้ามาที่ร้าน TE Time and Space ที่ตั้งอยู่ในซอยย่อยอีกที (แต่ไม่ลึกมาก เราใช้เวลาเดินไม่เกินห้านาที) รู้ตัวว่ามาถึงแล้วเมื่อเห็นกระดานไม้ชื่อร้านตั้งอยู่เป็นสัญลักษณ์ว่ามาถูกที่แล้ว ก่อนจะได้รับการต้อนรับจากสีเขียวของสาระพัดเฟิร์นประดับประดาหน้าตึกแถวหนึ่งคูหาที่เป็นที่ตั้งของร้าน เพียงก้าวเข้าไปก็ได้ยินเสียงของ ปลา-นันธิดา รัตนกุล เจ้าของร้านที่ทักทายด้วยรอยยิ้มสดใสจากในเคาน์เตอร์ไม้

Read More

ขนมฮวงกั๊วะเปี๊ยะ หรือเซ่าปิ่ง ริมถนนไมตรีจิตต์ ใกล้ศาลเจ้าชิกเซ๊้ยม่า เปิดขายปีละครั้งแค่ช่วงเจเท่านั้น เรียกได้ว่าอร่อยแบบหาตัวจับยาก!

Read More

Onedee Cafe คาเฟ่ใหม่ในอารีย์ที่พาไอศกรีมรสชาติไทย ๆ ให้ไปไกลกว่ากะทิ เดินเข้าไปจากปากซอยอารีย์เลยอารีย์ซอย 1 ไปนิดเดียว ซ้ายมือจะมีชานเล็กๆ พร้อมโต๊ะไม่กี่ที่ สีขาวของกระเบื้องสี่เหลี่ยมชิ้นเล็กตัดกับตัวหนังสือไทยผสมเลขอารบิกอย่าง “1ดี” ยิ่งทำให้เราอยากทำความรู้จักกับคาเฟ่เล็กๆ แห่งนี้ให้มากขึ้น เมื่อผลักประตูเข้าไป สิ่งที่ปะทะสายตาเราก่อนใครคือตู้ไอศกรีมในเคาน์เตอร์ยาวทางฝั่งซ้ายของร้านที่ปูด้วยบล็อกปูนที่เหมือนกับฟุตบาทให้อารมณ์ดิบๆ เข้ากับเคาน์เตอร์หินอ่อน ข้างล่างมีโต๊ะไม่มาก เราเลยเลือกขึ้นไปนั่งชั้นสองซึ่งตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอุ่นเข้ากับความนวลของกระเบื้องโมเสคสีขาวสะอาดตา มุมหน้าร้านยังมีหน้าต่างกลมบานใหญ่ที่เปิดรับแสงธรรมชาติเข้ามาอย่างเต็มที่ เชื้อเชิญให้เรารีบจับจองมุมอบอุ่นน่านั่งนี้ไว้แบบไม่ต้องคิดมาก ที่สำคัญมีไวไฟและที่เสียบปลั๊กพร้อม เมนูที่นี่มีไอศกรีมรสไทยๆ เป็นตัวชูโรง ทั้งกะทิ มะพร้าวน้ำหอม ตาลโตนด ชาชัก สละลอยแก้ว และแตงไทยน้ำกะทิ ที่จะสั่งเปล่าๆ ก็ได้ในราคาลูกละ 20 บาท หรือจะสั่งพร้อมหน้าต่างๆ ที่ทางร้านยืนยันว่าทำเองทุกอย่าง เช่น ไอศกรีมหน้าหวาน (ใส่ฝอยทอง ลูกชุบ ทองม้วน) หน้ากุ้ง (หน้าเหมือนข้าวเหนียวหน้ากุ้ง) ชาชัก (ใส่ไข่มุก เยลลี่น้ำตาลทรายแดง โรตีกรอบ) และ ขนมตาล

Read More

Casa Lapin x Badmotel เราเกือบลืมไปแล้วว่าสาขาแรกสุดของร้านกาแฟสุดฮิปอย่าง Casa Lapin เป็นบ้านโพรงกระต่ายเล็ก ๆ ที่แทรกตัวอยู่ใน Thonglor Art Village ริมถนนใหญ่ของซอยทองหล่อ ก่อนจะเติบโตแตกหน่อไปทั้งซอยสุขุมวิท 49 ซอยสุขุมวิท 26 อารีย์ และเปิดเป็นแฟรนไชส์ไปอีกหลายสาขาแล้ว นับว่าเป็นการคืนถิ่นสำหรับสาขาใหม่ล่าสุดที่ไปฝากตัวไว้กับบาร์สุดฮิปอย่าง Badmotel ที่อยู่ริมซอยทองหล่อในโซนใกล้ ๆ กัน ให้เราได้จิบกาแฟในช่วงเช้า ก่อนจะกลับไปยกแก้วเบียร์ต่อกันในช่วงเย็นที่บาร์เปิดตามปกติ งานนี้ Casa Lapin พาน้องกระต่ายมาวิ่งเล่นเต็มร้าน เพิ่มความน่ารักเบา ๆ อย่างกลมกลืน ไม่ให้หลุดลุคสุดคูลของร้านเลยสักนิด นอกจากกาแฟร้อนเย็นต่าง ๆ (เริ่มที่ 80 บาทถ้วน) แล้วในเมนูก็ยังมีช็อคโกแล็ต ชาเขียว และชาต่าง ๆ ที่เป็นซิกเนเจอร์ของ Casa Lapin แม้ว่าสาขานี้จะไม่มีอาหารหรือขนมเสิร์ฟ แต่บรรยากาศก็เหมาะกับการมานั่งสบาย ๆ

Read More

Coffeelism Stand ตัวร้านเป็นแค่สแตนด์สมชื่อ แต่นอกจากจะไม่ใช่สไตล์เจ๊นิดเจ๊น้อยดึงถุงกาแฟบนหม้อน้ำร้อนแล้วหน้าตาของร้านก็ยังดูเกาหลีญี่ปุ่นมาก ๆ เดินเข้าไปสุดซอยสาทร 8 จะเห็นกล่องสีขาวสไตล์มินิมอล มีที่นั่งตรงเคาน์เตอร์ข้างหน้าไม่กี่ที่ แต่ในพื้นที่ขนาดบาริสตายืนกันได้ไม่เกิน 5 คนนั้นเต็มไปด้วยคนที่เข้าใจกาแฟที่แท้จริง อย่างเจ้าของร้านที่นอกจากจะเป็นบาริสตาแล้วยังพ่วงตำแหน่ง Q Grader หรือผู้ตัดสินกาแฟที่ได้ใบรับรอง ส่วนบาริสต้าก็ได้รับการฝึกมาจากโรงเรียนอย่าง Intercof เจ้าของเมล็ดกาแฟ และร้านกาแฟสุดเนิร์ดอย่าง Red Diamond (เท่มาก เดี๋ยวเราพาไปดูอีกที)      เพราะงั้นมั่นใจได้เลยว่ากาแฟอร่อย แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือราคาไม่แพงเลย ตกอยู่ที่แก้วละ 40-70 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มอื่นๆ อย่างชาเขียว ช็อคโกแลต และคาเคา (ผงโกโก้ดิบที่ยังไม่ผ่านกระบวนการความร้อน) สำหรับคนที่ไม่ดื่มกาแฟอีกด้วย สำหรับใครที่ชอบดื่มกาแฟแบบไม่ใส่น้ำตาล อย่าลืมบอกทางร้านว่าเอาไม่หวาน เพราะรสชาติปกติของที่นี่มีการเพิ่มความหวานลงไปแล้วCoffeelism Stand เปิดทำการ: จันทร์-ศุกร์ 7:00-15:00 น. เสาร์ 9:00-15:00 น. ที่อยู่: สาทร ซอย 8

Read More

นิทรรศการ Louis Vuitton Time Capsule เราไม่เคยรู้มาก่อนว่ากระเป๋าแบรนด์ที่ติดภาพความหรูหราอย่างหลุยส์ วิตตอง ที่จริงแล้วมีจุดเริ่มต้นจากการทำกระเป๋าหีบ (ใช่ กล่องสี่เหลี่ยมใหญ่ ๆ นั่นแหละ) แล้วก็ผลิตกระเป๋าที่เน้นฟังก์ชันการใช้งานมาก ๆ จนกระทั่งได้ไปนิทรรศการ Time Capsule ของ Louis Vuitton ที่ลานสยามพารากอน  ฃ  งานนี้ขนประวัติศาสตร์กระเป๋าหลุยส์มาหมดตั้งแต่เริ่มต้น สมัยคุณหลุยส์แกเริ่มทำหีบใหม่ ๆ จนค่อย ๆ แตกไลน์เป็นหีบเฉพาะทางมากขึ้น ทั้งหีบตู้เสื้อผ้า หีบปิกนิก หีบเกมคาสิโน ก่อนจะมาถึงกระเป๋ารุ่นต่าง ๆ ในปัจจุบัน แถมยังมีคุณลุงช่างทำกระเป๋ามาโชว์ให้ดูแบบเป็น ๆ แถมห้องสุดท้ายก็ยังน่าตื่นตาสุด ๆ กับหีบยักษ์มหัศจรรย์ที่ฉายภาพวิวัฒนาการลายกระเป๋ารุ่นต่าง ๆ ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน ทั้งหมดในเวลาแค่ประมาณ 2 นาทีกว่า สุดท้ายก่อนออกอย่าลืมไปต่อคิวรับโปสการ์ดกันนะ . นิทรรศการ Louis Vuitton Time

Read More

ร้านขนมปังเจ้าโปรดของหลายคนในกรุงเทพฯ อย่าง Conkey's Bakery ขยับขยายจากเอกมัยมาเปิดสาขาสองที่ซอยสุขุมวิท 49 (ที่เก่าของร้าน Gram ในตึก The 49 Terrace) ไม่ไกลจากสาขาแรกมาก แต่ว่าหาง่ายกว่ากันเยอะ มองเข้าไปจะเจอประตูสีเหลืองเด่นมาก่อนเลย แม้ว่าวันนี้จะเพิ่งเปิดเป็นวันแรก แต่เหล่าคนรักขนมปังก็มากันไม่ขาดสาย พบปะทักทายเบเกอร์ใหญ่อย่างพี่โจที่มาขายเองกับมือพร้อมกับรอยยิ้มและอัธยาศัยดีที่เป็นเอกลักษณ์ เราเชื่อว่าหลายคนที่อาจไม่คุ้นหูกับชื่อนี้ พอได้เห็นเจ้าขนมปังบริยอชฟูกลมสีน้ำตาลเงาสวยแล้วจะคุ้นตาคุ้นลิ้นกันไม่มากก็น้อย เพราะมีหลายร้านมาก ๆ ที่ใช้เจ้านี่ผ่าครึ่งประกบเบอร์เกอร์ ทั้งนุ่มทั้งหอม มีเปลือกให้เคี้ยวนิดๆ พร้อมรสชาติที่ชัดแต่เบาพอให้ไส้ได้เป็นจุดเด่นของทุกคำ นอกจากขนมปังบริยอช สาขานี้ก็ยังมีทั้งขนมปังบาแกตต์ ซาวร์โด เชียบัตตา สารพัดครัวซองต์ คีช พายต่าง ๆ และมีตบอลอร่อยสูตรเดิม ส่วนใครหิวขนม ก็หยิบชิ้นอย่างช็อกโกแล็ตทวิสต์ มัฟฟิน หรือพายแอปเปิลกลับไปได้ ตัวร้านมีขนาดกะทัดรัดพอให้เดินไปเลือกหยิบขนมปังกลับบ้านเท่านั้น แต่พี่โจบอกว่าอนาคตจะมีขายกาแฟในเวิ้งเล็ก ๆ ที่มีโต๊ะให้นั่งข้างหน้าด้วย Conkey’s Sukhumvit 49 The 49 Terrace ซ. สุขุมวิท

Read More

เวลาจะหาร้านกินย่านเมืองเก่า ร้านรวงต่างๆ ก็มักกระจุกตัวอยู่ตามถนนที่เราคุ้นเคย เช่นย่านถนนดินสอ ถนนพระสุเมรุ ถนนพระอาทิตย์ หรือแหล่งรวมคนอย่างถนนข้าวสาร ที่มีให้เลือกกินตั้งแต่ผัดไทยรถเข็นไปจนถึงห้องแถวซอยรามบุตรี (แถว Swensen’s) ที่มี street food ให้เลือกเยอะเหลือเกิน สำหรับคนที่ผ่านถนนราชดำเนินบ่อยๆ ก็อาจสังเกตเห็นร้านอาหารสีขาวหน้าตาธรรมดา ร้านเดียวที่เปิดไฟสว่างจ้าในยามค่ำคืนในโซนใกล้กับโรงแรมรอยัล รัตนโกสินทร์ ร้านที่ว่าก็คือ สกายไฮ (Sky High) ร้านข้าวต้มเก่าแก่ที่เปิดมานานกว่า 40 ปี แม้อาหารร้านนี้จะไม่ได้เด็ดดวงไปเสียทุกจาน แต่ร้านเล็กๆ เก่าๆ แห่งนี้ก็ทำให้เราหันกลับมามองถนนราชดำเนินดูเหมือนจะถูกลืมไปด้วยความที่ไม่ค่อยมีร้านอาหารอะไรให้กินนอกจากแม็คโดนัลส์ที่วงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หรือร้านหรูอลังของอย่าง เมธาวลัย ศรแดง ที่แย่งสปอตไลท์ไปซะหมด เสน่ห์อย่างหนึ่งของที่นี่คือการเปิดทำการตั้งแต่ 8 โมงเช้าไปจนถึงตี 1 ทำให้คนผ่านไปมามีที่ให้นั่งกินข้าวต้มร้อนๆ ในห้องแอร์ บรรยากาศเหมือนหยุดเวลาไว้ในยุค 70 ซะแบบนั้น ทางเข้าร้านสีขาวบังคับให้เราเดินผ่านกองทัพอาหารที่เรียงรายยั่วใจ รอให้ลูกค้าเลือกจานโปรดของตัวเอง อาหารหน้าร้านก็จะเป็นจานคุ้นเคยของคอข้าวต้มที่มีตั้งแต่วัตถุดิบเช่นปลาอินทรีย์ไปจนถึงจานยำทั้งหลาย ผัดใบปอ ผัดหนำเลี๊ยบ รวมทั้งหม้อต้มตุ๋น (ตั้งไฟอุ่นไปเรื่อยๆ) ที่มีตั้งแต่ต้มพะโล้ไปจนถึงต้มจับฉ่าย

Read More