La Dotta La Grassa เด็กเส้นสุดชิคคนใหม่ของอโศก

เขาว่ากันว่าคนที่มีอะไรคล้ายกันจะดึงดูดกัน ในเคสนี้เราว่าจริงตามนั้น เพราะความจริงจังด้านพาสตาของลาดอตต้า (La Dotta) ดึงดูดหัวใจรักพาสตาของเรามายังร้านน้องสาวที่คลอดตามกันมาติดๆ อย่าง ลาดอตตา ลากราสซา (La Dotta La Grassa)

ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นน้องสาว แต่น้องคนนี้ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากจะมีพื้นที่กว้างขวางกว่าแล้ว ยังมีความสวยแกลม น่ารักขี้เล่นขึ้นอีกหลายขุม

ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงเรียกได้ว่ามีความซับซ้อนน่าค้นหาคนหนึ่งเลยทีเดียว

ไล่ตั้งแต่หน้าร้านโทนสีน้ำเงินสดตัดชมพูอ่อนด้านในร้าน แซมด้วยความแวววับของเครื่องประดับสีทอง กับการสะท้อนของกระจกและหน้าต่าง ก่อนจะประกาศความขี้เล่นก๋ากั่นออกมาอย่างไม่เหนียมอายด้วยไฟนีออนสีชมพูสด!

มาตอนกลางวันได้ลุกใส ๆ แต่กลางคืนเธอก็จะแซ่บได้เหมือนกัน

แน่นอนว่าเธอไม่ได้ดูสลับซับซ้อนขึ้นแต่เฉพาะภายนอกเท่านั้น แต่รวมถึงเมนูอาหารที่หลากหลายขึ้นมากจากร้านพี่สาว จนเรียกได้ว่าเป็นร้านอาหารอิตาเลียนเต็มรูปแบบที่ครอบคลุมอาหารทั้งมื้อเช้า กลางวัน เย็น ด้วยเวลาเปิดร้านที่ยาวตั้งแต่หกโมงครึ่งไปจนถึงห้าทุ่ม

นี่ยังไม่รวมว่าถ้าไม่หิวเท่าไรแต่กระหายแอลกอฮอล์ขึ้นมาก็มานั่งดริงก์กันได้ทั้งไวน์และค็อกเทลด้วย

แต่ทั้งหมดทั้งมวล ทีเด็ดของร้านยังอยู่ที่พาสตา โดยโลโก้ร้านนี้เป็นพาสตาคองคิเย (conchiglie) รูปเปลือกหอย ที่บอกใบ้เราเป็นนัย ๆ ถึงพาสตาทำเองของร้าน ซึ่งมีมากกว่าพาสตาสดทำมือของร้านลาดอตตา (ที่ใช้โลโก้เป็นรูปตอร์เตโลนี [tortelloni] พาสตาห่อไส้) โดยร้านใหม่ได้อิมพอร์ตเครื่องทำพาสตายี่ห้อ La Monferrina มาจากอิตาลี ที่เขาว่าเป็นระดับเฟอร์รารีของวงการเครื่องทำพาสตาโดยใช้แป้งที่เลือกมาพิเศษจากอิตาลี

ฟังแค่นี้เราก็ตื่นเต้นแล้ว

พอมาชิมจริง ๆ ยิ่งตื่นเต้นกว่า พอเริ่มเคี้ยวพาสตาริกาโตนี (rigatoni) ในจาน Bouillabaise Seafood Stew (990 บาท) แล้วรู้สึกถึงเนื้อสัมผัสที่อยู่ตรงกลางพอดีระหว่างเส้นสดกับเส้นแห้ง ซึ่งเรานิยามว่าเป็นอัลเดนเต้ที่หนึบแบบไม่ร่วนและไม่เหลว ทำให้เราเข้าใจว่าการทำเส้นแห้งเองมันดีแบบนี้ ยิ่งเมื่อผัดรวมกับสตูว์ซีฟู้ดหอมแซฟฟรอนให้พอขลุกขลิก กินพร้อมซีฟู้ดสด ๆ ที่ยกมาทั้ง กุ้ง ปลา หอยแมลงภู่ และหอยตลับแล้วเราขอยกให้เป็นหนึ่งในจานพาสตาแบบไม่คลาสสิกในดวงใจไปเลย

อีกจานที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ Wagyu ‘Mac & Cheese’ (540 บาท) ที่ได้แรงบันดาลใจอาหารอเมริกันสุดคลาสสิกอย่างแม็กแอนด์ชีส เอามาทำแบบอิตาเลียนโดยใช้พาสตาคองคิเย่สัญลักษณ์ของร้าน ผสมกับชีสมอสซาเรลลานมวัว พาร์มิจาโน-เรจจาโน (Parmigiano Reggiano) และสกามอร์ซา (Scamorza) กับเนื้อวากิวตุ๋นไวน์แดง ให้ได้ทั้งความเหนียวนุ่มยืดและความเข้มข้นกลมกล่อมของชีสครบถ้วนจนคนไม่ชอบกินแม็กแอนด์ชีสแบบอเมริกันอย่างเราขอยกนิ้วให้ แต่เตือนไว้ก่อนว่าทั้งสองจานที่พูดถึงนี่จานใหญ่มาก ให้เตรียมหาเพื่อนมากินไว้เลย

ส่วนใครมาสายคลาสสิก ที่ร้านก็มี Amatriciana, Bolognese, Carbonara และ Linguine alla Vongole (ลิงกวินีผัดหอยตลับไวน์ขาว) ให้เลือกด้วย แต่เชื่อเราว่ามาถึงที่นี่แล้ว จานใหม่ ๆ ที่เชฟสร้างสรรค์ขึ้นมาคือต้องลอง เพราะที่นี่รวมความคิดสร้างสรรค์จากทีมเชฟทั้งเชฟฟรานเชสโก เดอานา (Frascesco Deiana) แห่ง Via Maris เชฟเนลสัน อโมริม (Nelson Amorim) แห่ง Il Fumo และเชฟลูกา คาปิตันโย (Luca Capitanio) หัวหน้าครัวของลาดอตตา ไว้ด้วยกัน!

 

 

นอกจากพาสตาใหม่ ๆ ที่ลาดอตตาทองหล่อไม่มีแล้ว ก็ยังมีอาหารจานหลักต่าง ๆ ที่เพิ่มมาทั้งเสต็กเนื้อวากิว (1,920 บาท) เสต็กปลากระพงกับหอยตลับซอสไวน์ขาว (550 บาท) กุ้งแดงคาราบิเนรอสย่าง (790 บาท) และหมูหันสไตล์ซาร์ดีเนีย (690 บาท) บ้านเกิดของเชฟฟรานเชสโก โดยจานหลังรับประกันเรื่องความกรอบของหนังผสมกับความนุ่มฉ่ำของเนื้อ สไตล์คล้าย ๆ ลูกหมูย่างของสเปน แต่หั่นเป็นชิ้นมาเสิร์ฟคู่กับซอสเกรวี่และมันฝรั่งอบ

ถึงร้านจะเปิดยาวทั้งวัน แต่พาสตากับอาหารจานหลักจะขายเฉพาะมื้อกลางวัน (11:00-14:30 น.) และเย็น (17:30-23:00 น.) เท่านั้น แต่สำหรับมื้อเช้าและบ่าย เขาก็มีปานีนี (panini) แซนด์วิชอบแบบอิตาเลียนให้รองท้องแทน

ที่ท้ายร้าน ไฟนีออนสีชมพูดัดเป็นตัวอักษรและลูกศรชี้ไปแบบเน้น ๆ ที่ตู้บอมโบโลนี (Bomboloni) เหมือนบอกเป็นนัยๆ ว่าพลาดไม่ได้จริงๆ กับการชิมโดนัทอิตาเลียนใส่ไส้ (240 บาท/2 ชิ้น) ขนมหวานซิกเนเจอร์ของบ้านนี้ ที่คราวนี้จัดใหญ่กว่าเดิม มีไส้ให้เลือกเพิ่มเป็น 5 ไส้ ทั้งนูเทลลา ชีสริคอตต้ากับน้ำผึ้ง บลูเบอร์รีชีสเค้ก ทีรามิสุ และสตรอว์เบอร์รีกับแชมเปญ เปลือกกรอบ ๆ ของตัวโดนัทพอกินพร้อมเนื้อนุ่ม ๆ กับไส้ครีมฉ่ำ ๆ คือเพอร์เฟ็กต์สุด แต่ถ้ากินพาสตาแล้วต่อไม่ไหวแล้วเราแนะนำให้มาบ่าย ๆ สั่งแค่บอมโบโลนีกับกาแฟเป็นมื้อขนมสวย ๆ เอาก็ได้ เพราะมีขายตั้งแต่สิบเอ็ดโมงยาวไปถึงร้านปิดเลย

  

ใครสายจิบ ถ้าได้ไวน์ (เริ่มที่ 280 บาท/แก้ว) หรือค็อกเทล (360-390 บาท) มาชิมคู่กับอาหารก็จะยิ่งเพิ่มบรรยากาศเข้าไปอีก โดยเฉพาะค็อกเทลที่ได้ ปาล์ม-ศุภวิชญ์ มุททารัตน์ เฮดบาร์เทนเดอร์จาก Vesper ตั้งใจขนตัวเด็ดสายอิตาลี อย่าง Aperol Spritz, Americano และ Negroni มาพร้อมกับการทวิสต์รสชาติเพิ่มเติมอย่าง Strawberry Spritz (จินสตรอว์เบอร์รี เวอร์มุธ สปาร์กลิงไวน์ และโทนิก) หรือ Rasp’ Espresso Martini (วอดกา กาแฟเอสเปรสโซ และน้ำเชื่อมราสพ์เบอร์รี) เลือกได้ทั้งแบบสดชื่นและแบบเน้นสปิริตเลย

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารในอโศกที่มาทีเดียวได้ทั้งคาวหวาน กินดื่มครบ แบบจบในที่เดียว แถมเรื่องตกแต่งร้านที่ชิคสุดแบบต่อให้เราแต่งตัวไม่เต็มมา ก็รับรองว่าถ่ายรูปออกมาดีแน่นอน!

La Dotta La Grassa
ที่อยู่: ชั้น G Sacha’s Hotel Uno ซอยสุขุมวิท 19
โทร. 02-254-9599
เปิดทุกวัน 06:30-23:00 น.
www.ladotta-lagrassa.co

 

Written by

Yong is a co-founder/editor at Spreads and a craft chocolate enthusiast. She firmly believes in making informed decisions about what we eat, with knowledge and awareness at the core. She also loves taking photos of her food. Some of them can be found on her IG: @yongsans

No comments

LEAVE A COMMENT